8. สรุป
กลุ่มชุดดินที่ 20 เป็นดินเค็มหรือดินที่มีเกลือที่จะละลายได้เป็นองค์ประกอบอยู่สูง จึงไม่เหมาะสมในการปลูกพืชเศรษฐกิจในสภาพปัจจุบัน จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดความเค็มของดิน จึงจะสามารถปลูกพืชบางชนิดได้
กลุ่มชุดดินนี้ประกอบด้วยชุดดินกุลาร้องไห้ หนองแก อุดรและดินชุดร้อยเอ็ดประเภทที่มีคราบเกลือหรือมีเกลืออยู่ในปริมาณสูง พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด ที่ใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน คือ การปลูกข้าว ผลผลิตต่ำถึงค่อนข้างต่ำ ปีใดที่ฝนแล้วน้ำไม่เพียงพอต้นข้าวจะตายเป็นหย่อม ๆ เนื่องจากความเค็มของดิน
ศักยภาพของดินที่พอจะใช้ประโยชน์ได้ ได้แก่ การทำนาข้าว ถ้าพบในสภาพพื้นที่ราบต่ำพัฒนาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ โดยเลือกพันธุ์หญ้าทนเค็มมาปลูกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ การปลูกไม้โตเร็วบางชนิดที่สามารถทนเค็มได้ เช่น สมอ กระถินณรงค์ ขี้เหล็ก สะเดาและยูคาลิปตัส เป็นต้น
อย่างไรก็ตามกลุ่มชุดดินที่ 20 สามารถปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดระดับความเค็มของดินลงมาอยู่ในระดับที่สามารถปลูกพืชทั่วไปได้ แต่ต้องลงทุนในการปรับปรุงแก้ไขสูง และจะต้องนำวิธีการหลายอย่างมาประยุกต์ใช้ เช่น วิธีการทางด้านปฐพีวิทยา วิธีการทางด้านพืช ด้านวิศวกรรมและวิธีการด้านกฎหมายจึงจะสามารถแก้ปัญหาดินเค็มได้
ตารางที่ 3 : การจัดการกลุ่มชุดดินที่ 20 เพื่อให้เหมาะสมในการปลูกพืชแต่ละชนิด
ชนิดพืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
1. ข้าว พันธุ์ที่แนะนำ ได้แก่ -พันธุ์พื้นเมือง ได้แก่ หอมอัม ขาวตาอู๋ กอเดียวเบา แดงน้อย เจ๊กกระโดด -พันธุ์ กข. ได้แก่ กข.1 กข.6 กข.7 กข.8 กข.15 -พันธุ์ส่งเสริม ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 สันป่าตอง สขาวตาแห้ง คำผาย 41 เก้ารวง 88 ขาวปากหม้อ148 |
-ความเค็มของดินและคุณสมบัติทางกายภาพไม่ดี |
-ป้องกันการแพร่กระจายโดยการปลูกม้โตเร็วเพื่อช่วยลดระดับน้ำเค็มใต้ดินไม่ให้เกือขึ้นมาสู่ผิวดิน
พันธุ์ไม่ที่แนะนำให้ปลูกในพื้นที่รับน้ำ
ได้แก่ ยูคาลิปตัส กระถนณรงค์
ขี้เหล็ก สมอ สะเดา มะขามเทศ
เป้นต้น
ปลูกในพั้นที่สูงเหนือพ้นที่นา
1. กำจัดพืชที่ขึ้นอยู่เสียก่อน 2. ปรับผิวหน้าดินให้เรียบ 3. ไถดินให้ลึกกว่า 30 ซม. ทลายดินล่างให้เป็นร่องแล้วปรับระดับผิวดิน 4. แบ่งแปลงขนาดแปลง 1-5 ไร่ แต่ละแปลงมีคันดินดั้นโดยรอบ 5. ทดน้ำเข้าแปลงครั้งละ250-300 ลบ.ม./ไร่ น้ำจะละลายเกลือในดินและชะล้างลงสู่ดินล่าง 6. ปล่อยน้ำเข้าเพิ่มในแปลงอีก 250-300 ลบ.ม./ไร่ ทุก ๆ 2-3 วัน และตรวจสอบความเข้มข้นของเกลือที่ละลายออกมา - การปรับปรุงดินเค็ม เพื่อช่วยเร่งการละลายเกลือออกและให้มีคุณสมบัติทางกายภาพเหมาะสมในการปลูกข้าว ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ |
ตารางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
|
1.
ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 4-5
ตัน/ไร่
ทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้ดิน
ร่วนซุยและช่วยเร่งการชะล้างเกลือออกไปจากดิน 2. ใส่วัสดุปรับปรุงดิน ได้แก่ แกลบ อัตราแนะนำ 2-5 ตัน/ไร่ เพื่อทำให้ดินไม่แน่นทึบ ทำให้การปักดำง่าย และรากข้าวชอนไซไปหาอาหารได้สะดวก ต้นข้าวแข็งแรงต้านทานโรคและแมลงได้ดี 3. การปลูกพืชปุ๋ยสดไถกลบลงในดินพืชปุ๋ยสดที่แนะนำได้แก่ โสนอัฟริกา โสนคางคก โสนจีนแดง โสนอินเดีย ฯลฯ ปลูกก่อนปลูกข้าวประมาณ 3 เดือน แล้วไถกลบลงไปในดิน เมื่อปุ๋ยสดอายุประมาณ 60 วัน 4. ใส่สารเคมี ได้แก่ ยิบซัม เพื่อช่วยสะเทินความเป็นด่าง และให้แคลเซียมในยิบซัมไปไล่ที่โซเดียมออกจากดินแล้วใช้น้ำชะล้างดซเดียมออกจากพื้นที่ ซึ่งจะช่วยลดความเค็มของดิน - ปรับปรุงโดยการใช้ปุ๋ยเคมีสูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 16-16-18 หรือสูตร 18-12-6 หรือสูตรา 15-15-15 อัตรา 30 กก./ไร่ แบ่งใส่ 3 ครั้ง ครั้งละเท่า ๆ กัน ครั้งแรกใส่หลังปักดำ 7-10 วัน ครั้งที่สองระยะที่ข้าวแตกกอสูงสุด และครั้งที่สามใส่ระยะที่ข้าวตั้งรวงวิธีใส่ให้หว่านทั่วแปลง |
ตารางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
2.
หญ้าเลี้ยงสัตว์
พันธุ์ที่แนะนำ ได้แก่ หญ้าแพรก
หญ้าชันกาด หญ้าขน หญ้ากินนี
หญ้านวลน้อย
และหญ้าเนเปียร์ลูกผสม
3.ไม้ยืนต้น ที่แนะนำได้แก่ ยูคาลิปตัส กระถิน ณรงค์ สะเดา ขี้เหล็ก สมอ แคบ้าน มะขามเทศ มะขามหวาน และมะขามเปรี้ยว |
-ความเค็มของดินและดินระบายน้ำเลว
มีน้ำท่วมขัง 3-4 เดือนในช่วยฤดูฝน
|
-การปรับปรุงแก้ไขขึ้นกับระดับความเค็มของดิน 1. ดินเค็มน้อยถึงปานกลาง ถ้าต้องการเปลี่ยนสภาพการใช้ที่ดินจากนาข้าวเป็นพื้นที่ปลูกหญ้า ให้ปฏิบัติดังนี้ 1.) ทำคันดินรอยพื้นที่ปลูกหญ้าเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน และมีประตูปิด เปิดเพื่อระบายน้ำเข้า ออก และช่วยในการชะล้างดินเค็ม และที่แนวคันดินด้านในให้ขุดเป็นร่องขนาดกว้างระหว่าง 1.5-2.0 เมตร ลึกประมาณ 1 เมตร เพื่อช่วยในการระบายน้ำของดินและเป็นที่สะสมน้ำเค็มก่อนที่จะระบายออกหรือสูบออก 2.) ไถปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกลือไปสะสมอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนี่งให้พื้นที่ปลูกหญ้า 3.) ทำร่องระบายน้ำในพื้นที่ปลูกหญ้าขนาดกว้างประมาณ 50 ซม. และลึกประมาณ 30-50 ซม. ยาวตามขนาดของพื้นที่ และขุดให้ต่อเนื่องกับร่องระบายน้ำรอบพื้นที่ปลูกและร่องระบายน้ำในบริเวณปลูกหญ้าที่กล่าวห่างกันประมาณ 15-20 เมตร 4.) การเตรียมดินปลูกให้ไถดินคลุกเคล้ากับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตราระหว่าง 2-3 ตัน/ไร่ หรือวัสดุปรับปรุงดิน เช่นแกลบ อัตรา 2-4 ตัน/ไร่ เพื่อให้ดินร่วนซุย ซึ่งจะช่วยเร่งการชะล้างเกลือออกไปจากดิน การปลูกหล้าควรปลูกในช่วงฤดูฝน 2.ดินเค็มมาก ถ้าจะใช้ในการปลูกหญ้าจะต้องปฏิบัติดังนี้ 1.) ทำคันดินรอบพื้นที่ปลูกเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน และคูระบายน้ำรอบพื้นที่ปลูกด้วย พร้อมทั้งมีประตูปิด- เปิด เพื่อการระบายน้ำเข้า-ออก เมื่อมีความจำเป็น คูระบายน้ำของพื้นที่ปลูกมีขนาดเท่ากับที่กล่าวมาแล้ว 2.) ยกร่องปลูกให้มีขนาดกว้าง6-8 เมตร และมีร่องระบายน้ำระหว่างร่องปลูก มีขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร และลึกประมาณ 50-75 ซม. เพื่อช่วยการระบายน้ำของดินและช่วยในการชะล้างดินเค็มบนแปลงปลูกได้เร็วขึ้น 3.) ปรับปรุงดินบนแปลงปลูกให้ร่วนซุยด้วยการใส่วัสดุปรับปรุงดิน เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา 3-4 ตัน/ไร่ เพื่อช่วยเร่งการชะล้างเกลือออกดิน 4.) การปลูกหญ้าทนเค็ม ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อหลีกเลี่ยงดินแห้งในช่วงที่หญ้าตั้งตัว ที่จะทำให้เกลือขึ้นสู่ผิวดินที่จะทำให้ความเค็มของดินเพิ่มขึ้น - ปรับปรุงโดยการใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 อัตรา 30-40 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 20-25 กก./ไร่ หรือปุ๋ยสูตร 46-0-0 อีตรา 10-15 กก./ไร่ โดยใส่โรยสองข้างแถวหญ้าที่ปลูกเมื่อหญ้าตั้งตัวหรือหลังปลูก 20-25 วัน -การปรับปรุงแก้ไขให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1.) ทำคันรอบพื้นที่ปลูก เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังและมีคูระบายน้ำรอบพื้นที่ปลูก เพื่อช่วยในด้านการระบายน้ำออก 2.) ยกร่องปลูกให้มีขนาดกว้าง 4-8 เมตร และระหว่างร่องปลูก มีร่องระบายน้ำขนาดกว้าง 75-100 ซม. ลึกประมาณ 75 ซม. เพื่อช่วยในการระบายน้ำของดินและเร่งการชะล้างเกลือออกจากดินบนร่องปลูก 3.) ขุดหลุมให้มีขนาด 50x50x50 ซม. หรือใหญ่กว่า คลุกเคล้าดินในหลุมปลูกด้วยวัสดุปรับปรุงดิน เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ประมาณ 10-15 กก./หลุม และพูนดินในหลุมปลูกให้สูงกว่าพื้นดินบนร่องปลูก ประมาณ 20 ซม. และควรปลูกในช่วงฤดูฝน เพื่อให้ไม่ยืนต้นที่ปลูกตั้งตัวด้วยการเจริญเติบโตตลอดฤดูฝน - ปรับปรุงแก้ไขด้วยการใช้ปุ๋ยเคมี สูตรที่แนะนำ 16-8-8 หรือ15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา 100-200 กรัม/ต้น/ปี ใส่ในปีที่ 1-3 หรือจนไม้ยืนต้นตั้งตัวได้ดี |
หมายเหตุ : กลุ่มชุดดินที่ 20 ส่วนใหญ่ไม่เหมาะสมในการปลูกพืชไร่และพืชผัก ถ้าจะใช้ปลูกต้องลงทุนในการพัฒนาที่ดินหรือปรับปรุงแก้ไขสูงมาก และควรจะเลือกเฉพาะในดินที่มีความเค็มน้อย ในดินชุดกุลาร้องไห้ หรือดินชุดร้อยเอ็ด ที่มีคราบเกลือปรากฎผิวดินเล็กน้อย
ตารางที่ 4 ชนิดของพืชที่เจริญเติบโตได้ในพื้นที่ดินเค็มระดับต่าง ๆ
ค่าการนำไฟฟ้า (dS/m) |
2 - 4 |
4 - 8 |
8 12 |
12 16ขึ้นไป |
|
เปอร์เซ็นต์เกลือ(%) |
0.12-0.25 |
0.25-0.5 |
0.5-0.75 |
0.75-1.0 ขึ้นไป |
|
ชั้นคุณภาพของดิน |
เค็มน้อย |
เค็มปานกลาง |
เค็มมาก |
||
อาการของพืช |
พืชบางชนิดแสดงอาการ |
เค็มปานกลาง |
พืชทนเค็มบางชนิดและพืชชอบเกลือเท่านั้นที่เติบโตให้ผลผลิตได้ |
||
พืชสวน |
ถั่วฝักยาว ผักกาด คื่นฉ่าย พริกไทย แตงร้าน แตงไทย มะนาว |
บวบ กะหล่ำดอก พริกยักษ์ กะหล่ำปลี ถั่วลันเตา มันฝรั่ง น้ำเต้า กระเทียม หอมใหญ่ หอมแดง ผักชี แตงโม ข้าวโพดหวาน ผักกาดหอม องุ่น |
ผักโขม ผักกาดหัว มะเขือเทศ ถั่วพุ่ม |
หน่อไม้ฝรั่ง คะน้า กะเพรา ผักบุ้งจีน ชะอม |
|
พืชไร่และพืชอาหารสัตว์ |
ถั่วเขียว ถั่วแขก ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วปากอ้า งา |
ข้าว ทานตะวัน ปอแก้ว ป่าน ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วพุ่ม ถั่วพร้า อัญชัน มันสำปะหลัง โสนอินเดีย โสนพื้นเมือง หญ้าเจ้าชู้ |
ข้าวทนเค็ม คำฝอย มันเทศ โสนอัฟริกัน โสนคางคก หญ้าขน หญ้ากินนี หญ้านวลน้อย |
ฝ้าย หญ้าแพรก หญ้าไฮบริดเนเปียร์ หญ้าชันกาด หญ้าแห้วหมู ป่าน ศรนารายณ์ |
|
ไม้ผลและไม้ผลโตเร็ว |
อาโวกาโด กล้วย ลิ้นจี่ มะม่วง |
ทับทิม ชมพู่ แค ปาล์มน้ำมัน มะกอก มะเดื่อ |
ฝรั่ง มะยม สมอ มะม่วงหิมพานต์ กระถินณรงค์ ยูคาลิปตัส ขี้เหล็ก |
ละมุด พุทรา มะขาม มะพร้าว อินทผลัม มะขามเทศ สน สะเดา |
ที่มา : เอกสารคู่มือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เรื่องดินเค็ม กลุ่มปรับปรุงดินเค็ม กองอนุรักษ์ดินและน้ำ กรมพัฒนาที่ดิน พิมพ์ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2539