8. สรุป
กลุ่มชุดดินที่ 4 เกิดจากการทับถมของตะกอนใหม่และค่อนข้างใหม่ที่น้ำจากแม่น้ำพัดพามาทับถม พบบริเวณที่ราบลุ่มน้ำจากแม่น้ำถึงในช่วงฤดูฝนสภาพพื้นที่ราบเรียบถึงเกือบการบเรียบ ความลาดเทน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะเนื้อดินค่อนข้างเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำค่อนข้างเลวถึงเลวในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำท่วมขังแช่อยู่ระหวาง 4-5 เดือน เป็นกลุ่มชุดดินที่มีศักยภาพเหมาะสมในการทำนาในการทำนาในช่วงฤดูฝน และเหมาะสมในการปลูกพืชไร่ปละพืชผักหลายชนิดในช่วงฤดูฝนแล้ง ปัญหาและข้อจำกัดในการปลูกพืชที่สำคัญได้แก่ปัญหาน้ำท่วมและการระบายน้ำของดินไม่ดี
ชุดดินหลักที่จัดอยู่ในกลุ่มดินนี้ได้แก่ดินชุดชัยนาท ราชบุรี ท่าพล สระบุรี และบางมูลนาค ซึ่งพบมาในภาคกลาง เหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มีการใช้ประโยชน์ทั้งทำนา ปลูกพืชไร่และพืชผักสวนครัว ในสภาพปัจจุบันไม่สามารถปลูกไม้ผลหรือไม้ยืนต้นได้เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานานในรอบปี ถ้าจะใช้ปลูกต้องมีการปรับปรุงแก้ไขหรือมีการพัฒนาที่ดินโดยทำคันดินล้อมรอบพื้นที่ปลูกเพื่อป้องกันน้ำท่วมและมีการยกร่องปลูกเพื่อช่วยการระบายน้ำของดิน
สำหรับด้านการจัดการกลุ่มชุดดินที่ 4 ให้เหมาะสมในการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ และรักษาเสถียรภาพการผลิตของดินตลอดทั้งการเพิ่มผลผลิตของพืชที่ปลูกได้กล่าวสรุปไว้ในตารางที่ 3
ตารางที่ 3 สรุปการจัดการกลุ่มชุดดินที่ 4 เพื่อให้เหมาะสมในการปลูกพืชแต่ละชนิด
ชนิดพันธุ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
1. ข้าว พันธุ์ที่แนะนำ ขาวตาหยก ไข่มุก รวงยาว สีรวง อัลฮัมดุลิลละห์ ดอนทราย ลูกเหลือง เหลืองประทิว123 อพอลโล ทุ่งทอง นวลแก้วขาวดอกมะลิ105 กข.7 กข23 กข13 สุพรรณบุรี90 ตะเภาแก้ว เล็บมือนาง เหลืองใหญ่148 เหมยนอง ขาวน้อย
|
-ดินขาดธาตุอาหารบางอย่าง
-ดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่างและดินค่อนข้างไม่ร่วนซุย |
-ใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 1.5-2.0 ตัน/ไร่นา ระยะไถเตรียมดินก่อนปัดดำ หรือปลูกพืชปุ๋ยสดแล้วไถกลบลงดินก่อนปลูกข้าว 2-3 เดือน -ใส่ปุ๋ยเคมี ควรใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรก ใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 หรือ 20-20-0 หรือ 18-20-0 สูตรใดสูตรหนึ่งอัตรา 20 กก/ไร่สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสงและอัตรา 35 กก/ไร่ สำหรับข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงใส่ก่อนปักดำ 1 วัน หรือใส่วันปักดำแล้วคราดดินกลบ ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยแต่งหน้าด้วยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 15 กก/ไร่ หรือปุ๋ยยูเรียอัตรา 6 กก/ไร่ สำหรับข้าวไวต่อแสง สำหรับข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟดอัตรา 13 กก/ไร่ ให้ใส่ก่อนระยะข้าวออกดอกประมาณ 30 วันหรือหลังปักดำแล้ว 30-45 วัน โดยหว่านให้ทั่วแปลง
การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก 1.ในกรณีปลูกพืชไร่ในช่วงฤดูแล้งหรือหลังการเก็บเกี่ยวข้าวควรดำเนินการดังต่อไปนี้ -ให้ทำร่องระบายน้ำรอบกระทงนาและทำร่องภายในกระทงนาในกรณีที่กระทงนาใหญ่ซึ่งห่างกันประมาณ 10-15 เมตร และร่องมีความกว้าง 40-50 ซม ลึกประมาณ 20-30 ซม ซึ่งร่องที่กล่าวนี้จะช่วยระบายน้ำผิวดินและสะดวกในการให้น้ำและเข้าไปดูแลพืชที่ปลูก 2.ในกรณีเปลี่ยนสภาพการใช้ที่ดินจากนาข้าวเป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่อย่างถาวรคือปลูกทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง ให้ทำคันดินรอบพ้นที่ปลูกและให้ยกร่องปลูกแบบถาวร สันร่องปลูกกว้าง 6-8 เมตร มีคูระบายน้ำกว้างประมาณ 1.5 เมตร และลึกประมาณ 1 เมตร บนสันร่องแปลงให้สูงขึ้น 10-20 ซม และกว้าง 1.5-2.0 เมตรเพื่อช่วยระบายน้ำบนสันร่อง และสะดวกในการเข้าไปดูแลพืชที่ปลูก -แก้ไขโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีสำหรับสูตร อัตราและวิธีการใข้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ปลูกดังต่อไปนี้ |
2.1พืชตระกูลถั่ว(ถั่วเหลือง
ถั่วเขียว ถั่วลิสง)
2.4 ฝ้าย |
-ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
เช่นปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักอัตรา 1-2
ตันต่อไร่
หว่านให้ทั่วแปลงแล้วไถกลบก่อนปลูก
4-7 วัน -ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 0-46-0 อัตรา 15-20 กก.ต่อไร่ หรือสูตร 0-20-0 อัตรา 30-40 กก. ต่อไร่หรือสูตรอื่นที่มีธาตุอาหารพืชเท่าเทียมกันใส่รองก้นร่องปลูกหรือโรยสองข้างแถวปลูกแล้วพรวนดินกลบเมื่อ ถั่วอายุได้ 20-25 วัน -ใส่ปุ๋ยสูตร 20-20-0 อัตรา 40-50 กก./ไร่ หรือสูตร 23-23-0 อัตรา 35-45 กก./ไร่ โรยทั้งแถวปลูกแล้วพรวนดินกลบเมื่อข้าวโพดข้าวฟ่างอายุ 20-25 วัน หรือใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 30-40 กก.ต่อไร่โดยใส่รองกันหลุม ร่วมกับปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 20-30 กก./ไร่ หรือ 46-0-0 อัตรา 10-15 กก./ไร่ โรยสองข้างแถวแล้วพรวนดินกลบเมื่อข้าวโพดหรือข้าวฟ่างอายุ 20-25 วัน -ใส่ปุ๋ยสูตร 20-20-0 หรือสูตรอื่นที่มีเนื้อธาตุอาหารใกล้เคียงกัน อัตรา 20-50 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่สองครั้งๆละเท่ากัน ครั้งแรกใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก และครั้งที่สองเมื่อละหุ่งอายุ 25-30 วัน -โดยทั่วไปใช้สูตร 21-0-0 อัตรา 20-30 กก./ไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 15-20 กก./ไร่ ใส่หลังปลูก 20-25 วัน โดยโรยสองข้างแถวแล้วพรวนดินกลบ ในกรณีที่ดินมีธาตุฟอสฟอรัสต่ำ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 20-20-0 อัตรา 30-40 กก./ไร่ หรือสูตร 23-23-0 อัตรา 30-40 กก./ไร่ หรือ 16-20-0 อัตรา 35-45 กก./ไร่ ใส่หลังปลุก 20-25 วันโดยโรยสองข้างแถว แล้วพรวนดินกลบ |
ตรางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพันธุ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
3.พืชผักต่างๆ
3.1 ผักรับประทานใบและลำต้น ได้แก่ คะน้า ผักกาดขาว กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา
3.3ผักรับประทานหัว ได้แก่ หอมแดง กระเทียม และ หอมหัวใหญ่ 3.4
ผักรับประทานหัวที่สะสมแป้ง
ได้แก่ เผือก มันเทศ เป็นต้น |
-ดินมีการระบายน้ำเลวและมีน้ำขังแช่ในช่วงฤดูฝน
|
-การแก้ไขให้ดำเนินการ เช่น เดียวกับการเตรียมพื้นที่ปลูกพืชไร่ได้กล่าวมาแล้ว -การจัดการหรือแก้ไขขึ้นอยู่กับชนิดของพืชผักที่ปลุก สำหรับการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ หว่านให้ทั่วแปลงปลูกแล้วไถคลุกเคล้ากับดินก่อนปลูก ส่วนการใช้ปุ๋ยเคมีควรจะปฏิบัติดังนี้ -ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 40-50 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง เท่าๆกัน ครั้งแรกใส่หลังจากย้ายกล้าปลูกแล้ว 7 วัน ครั้งที่ 2 ใ่ส่หลังจากใส่ครั้งแรก 20-25 วัน โดยใส่สองครั้งแถวแล้วพรวนดินกลบ
-ยกร่องปลูกไม้ผลเพื่อป้องกันการแช่ขังของน้ำและเพื่อระบายน้ำออกในช่วงที่มีระดับน้ำใต้ดินตื้น -เตรียมหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม.คลุกเคล้าด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 25-30 กก./หลุม |
ตรางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพันธุ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
4. มะม่วง พันธุ์ที่แนะนำได้แก่ เขียวเสวย ทองคำ ฟ้าลั่น น้ำดอกไม้ หนังกลางวัน
4.3 ฝรั่ง พันธุ์ที่แนะนำ ได้แก่ พันธุ์เวียตนาม พันธุ์ทูลเกล้า กลมสาลี 4.4 กล้วยหอม พันธุ์ที่แนะนำได้แก่ กล้วยหอมทอง
4.6 ลิ้นจี่ พันธุ์ที่แนะนำ ได้แก่ ฮงฮวย โอเอียะ กิมเจ็งค่อม หอมลำเจียง กะโหลกใบยาว สาแหลกทอง แห้วสำเภาแก้ว กะโหลกใบเตา |
-ดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่าง | -การใส่ปุ๋ยเคมีให้ในอัตราครึ่งหนึ่งของจำนวนอายุ เช่น มะม่วงอายุ 10 ปี ก็ใส่ปุ๋ย จำนวน 5 กก./ตัน โดย1:3 ส่วนใช้ปุ๋ย 13-13-21 ใส่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 1:3 ส่วนใช้ปุ๋ย 15-15-15 ใส่ในช่วงเดือนพฤษภาคม และใส่ปุ๋ยที่เหลืออีก 1:3 ส่วนในรูปของปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 8-24-24 ในช่วงเดือน กันยายน-ตุลาคม -ปุ๋ยเคมีควรใช้สูตร 14-12-12 หรือ 20-15-15 ควรใส่หลังจากย้ายปลูก 2-3 อาทิตย์ถึงมะละกออายุได้ 1 ปี ใส่ปุ๋ย 1 กก./ตัน/ปี หลังจากอายุได้ 1 ปีขึ้นไป ใส่ประมาณ 1-1.5 กก./ตัน/ปี
-ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 1 กก./ตัน แบ่งใส่ 2 ครั้ง เมื่ออายุได้ 3 เดือนและ 5 เดือน -เมื่อต้นลำใยเริ่มให้ผลควรงดการให้น้ำช่วงเดือน ธันวาคม-มกราคม ควรทำความสะอาดบริเวณโคนต้นกากหญ้าและเก็บกวาดใบที่ร่วงออกเพื่อให้หน้าดินแห้ง -เดือนกุมภาพันธ์ ลำใยแทงช่อดอก เริ่มให้น้ำโดยค่อยๆ เพื่มปริมาณจนถึงปกติ -ในเดือนมีนาคม-มิถุนายน ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยบำรุงผล สูตร 12-12-17 หรือปุ๋ยสูตรเสมออัตราครึ่งหนึ่งของอายุต้นและควรมีการค้ำยนกิ่งและฉีดยาสารเคมีป้องกันโรคและแมลงด้วย -ช่วงเดือนกากฏาคม-สิงหาคม ควรมีการลดการให้น้ำลงก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต -ช่วงเดือนกันยายน-พฤษจิกายน ควรมีการตัดแต่งกิ่งฉีดยาป้องกันโรคแมลงและใส่ปุ๋ยบำรุงต้นสูตร 15-15-15 อัตราครึ่งหนึ่งของอายุต้น ร่วมกับการใส่ปุ๋ยดอกในอัตราเท่ากับอายุดิน -ช่วงเดือนพฤษจิกายน-มกราคม เป็นระยะที่ลิ้นจี่พักตัวเพื่อสร้างตาดอก จึงควรมีการงดการให้น้ำทำการตัดแต่งกิ่ง ทำความสะอาดบริเวณโคนต้น -ช่วงระยะปลายเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จะเริ่มเห้นตาดอกชัดเจนจึงเริ่มให้น้ำโดยค่อยๆเพื่อปริมาณจนถึงปกติ เมื่อติดผลอ่อนควรมี การใส่ปุ่ยเพื่อบำรุงผลโดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ หรือ สูตร 12-12-12 อัตรครึ่งหนึ่งของอายุของต้นร่วมกับการใส่ปุ๋ยคอก 10-20 กก./ตัน -ช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม หลังการเก็บเกี่ยวควรมีการตัดแต่งกิ่งโดยเร็วและควรใส่ปุ่ยคอกบำรุงต้น ถ้าเป็นพวกมูลวัวควาย ใส่ตามอายุของลิ้นจี่ เช่น อายุ 5-10 ปี ให้ใส่ 5-10 ปีบ แต่ถ้าเป็นมูลค้างคาวลดเหลือ 10 % |