6. การจัดการกลุ่มชุดดินที่ 6 เพื่อให้เหมาะสมในการปลูกพืช

          ในการจัดการกลุ่มชุดดินที่ 6 ให้เหมาะสมในการปลูกพืชนั้นต้องพิจารณาจากข้อจำกัดของกลุ่มชุดดินนี้ ร่วมกับการจัดระบบการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับศักยภาพของดินแต่ละชุดดินในกลุ่ม ซึ่งพอจะกล่าวสรุปได้ดังนี้

        6.1 การเลือกชนิดของพืชให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และชนิดของดิน เนื่องจากสภาพพื้นที่ราบลุ่มและมีน้ำขัง จึงเหมาะสมในการปลูกข้าวในช่วงฤดูฝน ส่วนในฤดูแล้วหลังเก็บเกี่ยวข้าว สามารถปลูกพืชไร่อายุสั้น เช่นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ข้าวโพดและพืชผักต่าง ๆ ได้

        6.2 การจัดการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในฤดูฝน ซึ่งถ้าจะใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชไร่หรือไม้ผล รวมทั้งพืชผัก จำเป็นต้องทำคันดินล้อมรอบพื้นที่เพื่อป้องกันน้ำท่วม และมีประตูสำหรับเปิดและปิดให้น้ำเข้าและระบายออกจากแปลงเพาะปลูกได้

        6.3 การจัดการเพื่อแก้ปัญหาการระบายน้ำเลวของดิน โดยทำต่อจากการทำระบบคันกั้นน้ำ (Poldir system) โดยการยกร่องปลูกพืช และทำร่องระบายน้ำรอบแปลง เพื่อให้ระดับน้ำใต้ดินอยู่พ้นรากพืช

        6.4 การจัดการเพื่อแก้ปัญหาเนื้อดิน ซึ่งเป็นดินเหนียว ไม่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของพืชที่ปลูก จำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักในอัตรา 1.5-2.0 ตันต่อไร่ หรือการปลูกพืชตระกูลถั่ว เช่นปอเทือง และโสนอัฟริกัน แล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อช่วยทำให้ดินมีความร่วนซุยขึ้น

        6.5 การจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายวิธีดังนี้

            6.5.1 การจัดระบบการปลูกพืชหมุนเวียนที่มีพืชตระกูลถั่วแทรกอยู่ในระบบการปลูกพืชหลัก ซึ่งได้แก่ พืชผัก-ข้าว-ถั่วต่าง ๆ หรือ ถั่วเหลือง-ข้าว-ข้าวโพด เป็นต้น

            6.5.2 การใช้ปุ๋ยเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ซึ่งมักใช้พืชตระกูลถั่วอายุสั้นมาปลูกในพื้นที่แล้วไถกลบ ซึ่งได้แก่ ปอเทือง ถั่วพุ่ม โสน และถั่วพร้า เป็นต้น

            6.5.3 การใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน จำเป็นต้องใช้ควบคู่กับปุ๋ยอินทรีย์ พวกปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยพืชสด เพราะอินทรีย์วัตถุจะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดิน โดยลดความเหนียวของดินและเพิ่มความร่วนซุย ตลอดจนจะช่วยให้ดินมีความจุในการอุ้มน้ำและอาหารมากขึ้น

 

   

back.gif (2807 bytes)forward.gif (2807 bytes)