8. สรุป
กลุ่มชุดดินที่ 6 เกิดจากการทับถมของตะกอนลำน้ำ พบบริเวณพื้นที่ราบเรียบถึงราบลุ่มลักษณะเนื้อดินเป็นดินเหนียว มีสภาพการระบายน้ำค่อนข้างเลว และมีน้ำขังที่ผิวดินนาน 3-5 เดือนในฤดูฝน จึงมีศักยภาพเหมาะสมในการปลูกข้าว ส่วนฤดูแล้งสามารถปลูกพืชไร่อายุสั้นหรือพืชผักได้ แต่ถ้าจะปลูกพืชไร่ไม้ผลหรือพืชผักตลอดปี ต้องมีการพัฒนาที่ดิน โดยการทำคัน
กลุ่มชุดดินที่ 6 ประกอบด้วยชุดดินที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ชุดดินบางนารา เชียงราย สุไหโกลก แกลง คลองขุด มโนรมย์ นครพมน พะวง ปากท่อ พัทลุง สตูล ท่าศาลา และวังตง เป็นต้น ซึ่งชุดดินที่กล่าวนี้ใช้ประโยชน์ในการทำนา ให้ผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างดี
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ ได้แก่ ปัญหาน้ำท่วมขัง ทำให้จำกัดชนิดของพืชที่จะปลูก จึงไม่เหมาะที่จะใช้ปลูกพืชไร่ ไม้ผล หรือพืชผัก เว้นแต่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไข ส่วนปัญหาทางกายภาพของดิน และดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงดิน
การใช้ประโยชน์กลุ่มดินที่ 6 ที่เหมาะสมควรจะเป็นการใช้ที่ดินแบบ ไร่นาสวนผสม คือมีการใช้ที่ดินในการปลูกข้าว ไม้ผล ทำสวนผัก และเลี้ยงสัตว์ควบคู่กันไป
ตารางที่ 3 สรุปการจัดการกลุ่มชุดดินที่ 6 เพื่อให้เหมาะสมในการปลูกพืชแต่ละชนิด
ชนิดพันธุ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
1. ข้าว
พันธุ์ที่แนะนำขาวตาหยก ไข่มุก
รวงยาว สีรวง อัลฮัมดุลิลละห์
ดอนทราย ลูกเหลือง ขาวน้อย
เหลืองประทิว 123 อพอลโลทุ่งทอง
นวลแก้ว ขาวดอกมะลิ105 กข.21 กข.23 กข7
กข13 สุพรรณบุรี90 ตะเภาแก้ว
เล็บมือนาง
2. พืชไร่ |
-ดินขาดธาตุอาหารพืชที่จำเป็นบางอย่าง
|
-ใช้ปุ๋ยรองพื้นสูตร
16-20-0 อัตรา 25-40 กก./ไร่หรือ สูตร 16-16-8
อัตรา 30-40 กก.ต่อไร่
โดยหว่านก่อนปักดำ 1-3 วัน
หลังจากนั้นใช้ปุ๋ยยูเรียเป็นปุ๋ยแต่งหน้า
อัตรา 5-10 กก./ไร่
ใส่เมื่อข้าวตั้งท้อง
1)กรณีปลูกในช่วงฤดูแล้วหรือหลังการเก็บเกี่ยวข้าวควรดำเนินการดังต่อไปนี้คือ ให้ยกร่องปลูกสูงขึ้นจากผิวดินเดิม 10-20 ซม. เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำขังแช่เมื่อมีการให้น้ำหรือมีฝนตก และควรทำร่องรอบกระทงนาและทำร่องภายในแปลงนาห่างกันประมาณ 8-12 เมตรและร่องมีความกว้าง 40-50 ซม. เป็นการช่วยการระบายน้ำผิวดินและสะดวกในการให้น้ำและเข้าไปดูแลพืชที่ปลูก 2)ในกรณีเปลี่ยนสภาพการใช้ที่ดินจากนาข้าวเป็นพื้นที่ปลูกไร่แบบภาวรคือปลูกทั้งฤดูฝนและฤดูแล้งให้สร้างคันดินรอบพื้นที่ปลูกและภายในพื้นที่ปลูกให้ยกร่องปลูกแบบถาวร สันร่องปลูกกว้าง 6-8 เมตร มีคูระบายน้ำกว้างประมาณ 1.5 เมตร ลึกประมาณ 1 เมตร บนสันรองอาจแบ่งซอยเป็นสันร่องย่อยโดยยกแปลงให้สูงขึ้นประมาณ 10-20 เมตรและกว้างอยู่ระหว่าง 1.5-2.0 เมตร เพื่อช่วยระบายน้ำบนสันร่องและสะดวกในการที่จะเข้าไปดูแลพืชที่ปลูก
|
2.1 ข้าวโพดหวาน
|
-ดินเหนียวและโครงสร้างของดินไม่ดี
-ดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่าง |
-ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ได้แก่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกอัตรา
1.5-2.0 ตันต่อไร่
หว่านให้ทั่วแปลงปลูกแล้วไถคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน
ตากดินให้แห้งประมาณ 20-30
วันก่อนที่จะย่อยดินปลูกพืช -ปลูกพืชตระกูลถั่วหรือใส่วัสดุปรับปรุงดินอย่างอื่นเช่นขี้เลื่อย แกลบ กากน้ำตาลหรือเศษพืชแล้วไถกกกกลบไปในดิน เมื่อสลายตัวดีแล้วจะช่วยทำให้ดินร่วนซุย และเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน -แก้ไขโดยการใช้ปุ๋ยเคมี สำหรับสูตร อัตราและวิธีการใช้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ปลุก -ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-20 หรือสูตร 15-15-15 หรือสูตรอื่นที่มีธาตุอาหารพืชใกล้เคียงกัน ใช้อัตรา 50-100 กก.ต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง ๆ ละเท่า ๆ กัน คือใส่รองก้นหลุมก่อนปลูกและใส่เมื่อข้าวโพดอายุ 25 วันและใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 10 กก. ต่อไร่ โดยใส่สองข้างแถวข้าวโพด แล้วพูนดินกลบโคน เมื่อข้าวโพดอายุ 25-30 วัน -ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือสูตรอื่นที่มีเนื้อธาตุอาหารพืชใกล้เคียงกันอัตรา 30 กก. ต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ใส่เป็นปุ๋ยรองพื้น 15 กก.ต่อไร่ ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยที่เหลือเมื่อต้นถั่วอายุ 20-25 วันโดยโรยปุ๋ยสองข้างแถวแล้วพรวนดินกลบ ในกรณีปลกถั่วเขียวโดยวิธีหว่านให้อัตราเดียว การปลูกถั่วเขียวที่จะให้ได้รับผลผลิตสูงควรคลุกเมล็ดด้วยเชื้อไรโซเบียมก่อนปลูก |
ตารางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพันธ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
2.3
ถั่วเหลือง
3.1 ผักรับประทานใบ
2) ผักคะน้า
|
- การระบายน้ำของดินไม่ดี - การมีน้ำขังและท่วมในฤดูฝน - ดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่าง |
-
ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-21 อัตรา 20-30
กก./ไร่ หรือสูตร 10-20-10 อัตรา 25-35
กก./ไร่หรือสูตร 16-20-0 อัตรา 25-30 กก./ไร่
(กรณีชุดดินที่มี
โพแทสเซี่ยมเป็นองค์ประกอบอยู่สูง)
โดยแบ่งใส่ให้ปฏิบัติ
เช่นเดียวกับการใส่ปุ๋ยถั่วเขียวที่กล่าวมาแล้ว - ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือ 16-6-6 อัตรา 70-90 กก./ไร่ หรือสูตร 18-6-6 หรือ 18-8-8 อัตรา 65-58 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ๆ ละเท่ากัน ใส่ครั้งแรกหลังปลูก 1 เดือน และครั้งที่สอง หลังปลูก 2-3 เดือน สำหรับการปลูกอ้อยในปีแรก ส่วนอ้อยตอใส่ปุ๋ยสูตร 14-14-14 หรือ 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา 40-50 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกต้นฝนครั้งที่ 2 หลังครั้งแรก 1-2 เดือน และใส่ร่วมกับปุ๋ยสูตร 20-0-0 อัตรา 25-30 กก./ไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 15-20 กก./ไร่ การใส่ปุ๋ยทั้งสองครั้งให้โรยข้างแถวแล้วพรวนดินกลบ -การเตรียมพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาการระบายน้ำของดินและน้ำท่วมให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการปลูกพืชไร่ที่ได้กล่าวมาแล้ว
- แก้ไขโดยการใช้ปุ๋ยเคมี สำหรับสูตรอัตราและวิธีการใส่ขึ้นอยู่กับชนิดของผักดังนี้ - ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือสูตรอื่นที่มีธาตุอาหารพืชเท่าเทียมกัน อัตรา 100 กก. ต่อไร่ โดยใส่ก่อนปลูก 1 วัน ด้วยวิธีหว่านให้ทั่วทั้งแปลง แล้วกลบด้วยดินบาง ๆ และใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 20 กก./ไร่ ใส่หลังปลูก 20-25 วัน - ใส่เคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 100 กก./ไร่ โดยใส่ก่อนปลูก 1 วัน และใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 20 กก./ไร่ ใส่หลังปลูก 25 วัน - ใส่ปุ๋ยเคมี อัตราและวิธีการใช้เช่นเดียวกับผักคะน้า |
ตารางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพันธ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
3.2
ผักรับประทานผล ได้แก่ พริก
มะเขือ มะเขือเทศ แตงต่าง ๆ
และถั่วฝักยาว
4.1 มะม่วง |
- การระบายน้ำของดินเลว - น้ำท่วมและขังในช่วงฤดูฝน - ดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่าง |
-
ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15
หรือปุ๋ยสูตรอื่นที่มีธาตุอาหารพืชใกล้เคียงกันอัตรา
40-50 กก./ไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง เท่า ๆ กัน
ครั้งแรกใส่หลังย้ายปลูก 5-7 วัน
ครั้งที่ 2
ใส่เมื่อเริ่มออกดอกหรือหลังย้ายปลูกประมาณ
1 เดือน
โดยใส่สองข้างแถวแล้วกลบดิน
สำหรับถั่วฝักยาวใช้ปุ๋ยสูตร 10-30-10
อัตรา 30-40 กก./ไร่ โดยแบ่งใส่ 2
ครั้งเท่า ๆ
กันคือครั้งแรกใส่รองก้นหลุม
ก่อนปลูกกลบดินแล้วหยอดเมล็ดครั้งที่
2
ใส่เมื่อเริ่มออกดอกโดยวิธีหว่านทั่วแปลง
แล้วรดน้ำทันที -การเตรียมพื้นที่ปลูกเพื่อแก้ปัญหาการระบายน้ำของดินและน้ำท่วมขังให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันการเตรียมพื้นที่ปลูกพืชไร่ที่ได้กล่าวมาแล้ว
อายุ 1-2 ปี ใส่ 1 กก.ต่อต้น โดยใส่ 2 ครั้งในช่วงเดือนมีนาคมและกันยายน อายุ 3 ปี ใส่ 1.5 กก.ต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง อายุ 4 ปี ใส่ 2 กก.ต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง อายุ 5 ปี ใส่ 2.5 กก.ต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง อายุ 6 ขึ้นไป ใส่ 3 กก.ต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง |
4.2
ส้มเขียวหวาน
|
-
ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15
หรือสูตรอื่นสูตรที่มีธาตุอาหารเท่าหรือใกล้เคียงกันอัตราและวิธีใช้ดังนี้ อายุ 1-2 ปี ใส่อัตรา 1 กก.ต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี อายุ 3 ปี ใส่อัตรา 1.5 กก.ต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี อายุ 4 ปี ใส่ 2 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี อายุ 5 ปี ใส่ 2.5 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี อายุ 6 ปีขึ้นไปใส่ 3 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี - ใช้สูตรและอัตราดังต่อไปนี้ อายุ 1 ปี ใช้สูตร 15-15-15 หรือสูตรอื่นสูตรที่มีธาตุอาหารเท่าหรือใกล้เคียงกัน อัตรา 1 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี อายุ 2 ปี ใช้สูตร 15-15-15 อัตรา 2 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้งต่อปี อายุ 3-4 ปี ใช้สูตร 13-13-21 อัตรา 2 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี อายุ 5 ปี ใช้สูตร 13-13-21 อัตรา 2.5 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี อายุ 6 ปีขึ้นไป ใช้สูตร 13-13-21 อัตรา 3 กก./ต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง/ปี - ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ใส่ 2 ครั้ง/ปี ดังนี้ อายุ 1 ปี ใช้อัตรา 1 กก./ต้น อายุ 2 ปี ใช้อัตรา 2 กก./ต้น อายุ 3 ปี ใช้อัตรา 3 กก./ต้น อายุ 4 ปี ใช้อัตรา 4 กก./ต้น อายุ 5 ปี ใช้อัตรา 5 กก./ต้น |
ตารางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพันธ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
4.5
ปาล์มน้ำมัน (ปลูกเฉพาะภาคใต้)
|
- อายุ 1 ปี
ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1.5 กก./ต้น/ปี
แบ่งใส่ปีละ 4-5 ครั้ง อายุ 2 ปี ใส่ปุ๋ยสูตร 15-10-30 อัตรา 2.5 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ปีละ 4-5 ครั้ง อายุ 3 ปี ใส่ปุ๋ยสูตร 15-10-30 อัตรา 3.5 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 ครั้ง คือช่วงต้นกลางและปลายฤดูฝนอายุ 4 ปี ใส่ปุ๋ยสูตร 10-10-30 อัตรา 4.5 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 ครั้ง คือช่วงต้น กลางและปลายฤดูฝน อายุ 5 ปี ขึ้นไป ใส่ปุ๋ยสูตร 10-10-30 อัตรา 5.5 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 ครั้ง คือช่วงต้นกลางและปลายฤดูฝน - อายุ 1-3 ปี ยังไม่ให้ผล ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 0.5-1.0 กก./ต้น ใส่ปุ๋ย 2 ครั้ง ในตอนต้นและตอนปลายฤดูฝนสำหรับปีต่อไปใส่ปุ๋ยเพิ่มขึ้น 0.5 กก./ต้น/ปี ให้ใส่ปุ๋ยหลังจากตัดแต่งกิ่งพร้อมกำจัดวัชพืชแล้ว ครั้งที่สอง ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 อัตรา 2.0-3.0 กก./ต้น ก่อนการออกดอกครั้งที่ 3 ใส่ปุ๋ย 9-24-24 หรือ 15-15-15 อัตรา 1.0-2.0 กก./ต้น ใส่เมื่อติดผลแล้ว และในระยะก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-17-2 อัตรา 1-2 กก./ต้น - ทุเรียนอายุ 1-2 ปี ยังไม่ให้ผล ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 0.5 กก./ต้น โดยแบ่งใส่ 2-3 ครั้ง ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์และให้ปุ๋ยเพิ่มขึ้น 0.5 กก./ต้น/ปี ทุเรียนที่ให้ผลแล้วครั้งแรกใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 3.0-5.0 กก./ต้น หลังจากเก็บผลผลิตแล้ว ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยสูตร12-24-12 อัตรา 3.0-5.0 กก./ต้นใส่ก่อนออกดอก 1-2 เดือน ครั้งที่ 3 ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-21 หรือ 8-24-24 หรือ 12-12-17-2 อัตรา 1.0-2.0 กก./ต้น หลังจากออกดอกประมาณ 60 วัน |
ตารางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพันธ์พืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
4.8 มังคุด
4.10 โกโก้
สนปฏิพัทธ์ กระถินเทพา และยูคาลิปตัส 6. หญ้าเลี้ยงสัตว์ |
-น้ำท่วมขังและดินมีการระบายน้ำเลว
|
-
มังคุดยังไม่ให้ผล ใส่ปุ๋ยสูตร
15-15-15 อัตรา 0.5 กก./ต้น/อายุ 1 ปี
โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง
ในต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน
หลังจากเก็บผลแล้ว ใส่ปุ๋ยสูตร
15-15-15 อัตรา 1-2 กก./ต้น
ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของต้นใหญ่หรือเล็ก
ก่อนออกดอกและติดผลเล็ก ๆ
ใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-17-2 อัตรา 1-2 กก./ต้น - ยังไม่ให้ผล ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 0.5 กก./ต้น/อายุ 1 ปี โดยแบ่งใส่ 2 ครั้งในช่วงต้นและปลายฤดูฝน เมื่อให้ผลผลิตแล้วใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ประมาณ 0.5-1 กก./ต้น - อายุ 1 ปี ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 0.2 กก./ต้น/ครั้ง อายุ 3 ปี ใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-17-2 อัตรา 0.6 กก./ต้น/ครั้ง อายุ 4 ปี ใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-17-2 อัตรา 0.7 กก./ต้น/ครั้ง โดยแบ่งใส่ 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ใส่ก่อนฤดูฝน ครั้งที่ 2 ใส่กลางฤดูฝน และครั้งที่ 3 ใส่ปลายฤดูฝน -การเตรียมพื้นที่ปลูกให้ปฏิบัติอย่างเดียวกับการเตรียมพื้นที่ปลูกไม้ผล ส่วนการจัดการอย่างอื่นไม่จำเป็น
- ทำคันดินรอบพื้นที่เพาะปลูก ไม่ให้น้ำท่วมขังในพื้นที่ปลูก - ติดตั้งปั้มน้ำออกจากพื้นที่ในช่วงที่มีฝนตกชุกหรือมีปริมาณมาก |
หมายเหตุ : สูตรปุ๋ยที่แนะนำสำหรับพืชต่าง ๆ ที่กล่าว อาจใส่ปุ๋ยสูตรอื่นที่มีธาตุอาหารพืชเท่า
หรือใกล้เคียงกันได้ และที่มีขายในตลาดท้องถิ่น