8. สรุป
กลุ่มชุดดินที่ 17 พบบริเวณที่ราบระหว่างหุบเขาหรือเนินเขาและบริเวณตะพักลำน้ำระดับต่ำลักษณะเนื้อดินค่อนข้างเป็นทรายคือ ดินทรายปนดินร่วน (loamy sand) หรือดินร่วนปนทราย ( sandy loam) สภาพพื้นที่ราบเรียบถึงเป็นลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อย ความลาดเทอยู่ระหว่าง 0-. เปอร์เซ็นต์ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำขังอยู่ระหว่าง 3-4 เดือนในรอบปี กลุ่มชุดดินนี้พบในภาคต่างๆ มีเนื้อที่ประมาณ 12.9 ล้านไร่แต่ที่พบมากคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่ประมาณ 8.5 ล้านไรปัญหาที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ คือ เนื้อดินและโครงสร้างของดินไม่เหมาะสม ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ดินมีน้ำขังในช่วงฤดูฝนเป็นอุปสรรคในการปลูกพืชไร่ ไม้ผล และพืชผักและมีน้ำท่วมทำให้ข้าวที่ปลูกเสียหายในช่วงที่ฝนตกชุกอย่างไรก็ตาม กลุ่มชุดดินนี้ มีศักยภาพเหมาสมในการทำนาในช่วงฤดูฝนและ ปลูกพืชไร่และพืชผัก ก่อนและหลังการปลูกข้าว เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลทั้งในด้านการรักษาผลผลิต และรายได้ของเกษตร ควรใช้ประโยชน์ที่ดินกลุ่มนี้แบบไร่นาสวนผสม โดยแบ่งพื้นที่การใช้ประโยชน์เป็นพื้นที่ทำนา พื้นที่ปลูกพืชไร่ ไม้ผลและพืชผัก พื้นที่พัฒนาแหล่งน้ำ และพื้นที่เลี้ยงสัตว์ อัตราส่วนของการใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ ความต้องการของเกษตรกรและความต้องการของตลาดสำหรับผลิตผลทางการเกษตรแต่ละชนิด
ตารางที่ 3 สรุปการจัดการกลุ่มชุดดินที่ 17 เพื่อให้เหมาะสมในการปลูกพืชแต่ละชนิด
ชนิดพืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
ข้าว พันธุ์ที่แนะนำ 1. พันธุ์ไวต่อช่วงแสง -ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กข.6 กข.8 กข.15 ขาวดอกมะลิ 105 ขาวปากหม้อ 148 ขาวตาหม้อ 17 ชุมแพ 60 น้ำสะกุย 19 เหนียวอุบล หางยี 71
กข.13 พัทลุง 60 แก่นจันทร์ นางพญา 132 พวงไร่ 2 เผือกน้ำ 43 เฉี้ยง -ภาคตะวันออกและภาคกลาง กข. 77 เก้ารวง 88 ขาวตาแห้ง 17 ขาวปากหม้อ |
-สภาพพื้นที่นาบางแห่งมีความลาดเทเล็กน้อย
น้ำขังในกระทงนาไม่สม่ำเสมอ
ทำให้ขาดน้ำ
|
1.แก้ไขโดยปรับกระทงนาให้สม่ำเสมอถ้าเป็นไปได้นำวิธีการจัดรูปแปลงนามาปฏิบัติ(land
reshape)
1. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ 2. ไถกลบตอซังพืชลงดิน ได้แก่ฟาง หรือตอซังข้าวต้นข้าวโพดหรือเศษพืชตระกูลถั่วในช่วงการเตรียมดิน 3. ไถกลบพืชปุ๋ยสดจากพืชตระกูลถั่ว ได้แก่โสนอัฟริกัน ถั่วพุ่มหรือถั่วเขียว ใช้เม็ดอัตรา 5-7 กก.ต่อไร่ ปลูกก่อนทำนาเป็นระยะเวลา 35-50 วันและเมื่อออกดอก 50% จึงไถกลบ 4. ปลูกพืชตระกูลถั่ว ได้แก่ กระถินยักษ์หรือถั่วมะแฮะ บริเวณคันนาแล้วทำการตัดใบหรือกิ่งอ่อนสับกลบเป็นปุ๋ยพืชสดแก้ไขโดยการใส่ปุ๋ยเคมี |
ตารางที่ 3 (ต่อ)
ชนิดพืช |
ปัญหาและข้อจำกัดในการใช้ที่ดิน |
วิธีการจัดการดิน |
2.พันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสงปลูกได้ทุกภาค กข.1 กข.2 กข.3 กข.4 กข. กข7 กข.9 กข.10 กข.11 กข.12 กข.23 กข.25 สุพรรณบุรี 60 พิษณุโลก 60-2 และพิษณุโลก 90
-พืชไร่ -พืชผัก ปลูกในช่วงฤดูแล้ง
พืชไร่ -ถั่วลิสง -ถั่วเขียว -ถั่วเหลือง
พันธุ์เวอร์จิเนีย
มะเขือเทศ
ผักกาดขาว ผักกาดเขียวปลี ผักกวางตุ้ง ผักบุ้งจัน ผักกาดหอม หอมแดง ผักตระกูลกะหล่ำ พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า
ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา
ปลูกโดยการปรับปรุงพื้นที่นาให้เป็นสวนไม้ผล - จัดระบบการปลูกพืชแบบไร่นาสวนผสม
มะม่วง
มะละกอ
มะม่วงหิมพานต์
พืชตระกูลหญ้า เช่น หญ้าขน กินนี,โร้ด ฯลฯ พืชตระกูลถั่ว กระถิน แค ถั่วลาย คุดชู ฮามาต้า มะแฮะ ฯลฯ ปลูกในระบบการปลูกพืชแบบไร่นาสวนผสม |
-ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
หรือขาดธาตุอาหารพืชบางชนิด
-ดินเป็นกรด -ดินค่อนข้างเป็นทราย
-ดินมีการระบายน้ำเลว
-ดินค่อนข้างเป็นทรายและมีโครงสร้างค่อนข้างแน่นทึบ
-ดินมีการระบายน้ำเลว
-ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ |
1.
อัตราปุ๋ยสำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง ครั้งแรก ปุ๋ยยูเรียช่วงตกกล้า อัตรา 5-10 กก.ต่อไร่ ครั้งที่ 2 ปุ๋ย 16-16-8 อัตรา 25-35 กก.ต่อไร่ ใส่ก่อนปักดำ ครั้งที่ 3 ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-15 กก.ต่อไร่ เป็นปุ๋ยแต่งหน้า 2. อัตราปุ๋ยสำหรับข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง ครั้งแรก ใส่ปุ๋ยยูเรียรองพื้น ช่วงตกกล้าอัตรา 10-15 กก.ต่อไร่ ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-8 หรือสูตรอื่นที่มีเนื้อปุ๋ยเท่าเทียมกัน อัตรา 20-25 กก./ไร่ ครั้งที่ 3 ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 5-10 กก./ไร่ เป็นปุ๋ยแต่งหน้า
-แก้ไขโดยทำการนกร่องให้สูงขึ้น 10-20 ศม.หลังจากฤดูนาแล้ว พร้อมกับทำคันคูและทางระบายน้ำ เพื่อป้องกันน้ำแช่ขังถ้ามีฝนตกผิดฤดูกาล -
-แก้ไขโดยการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดินดังนี้ 1. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ 2. ไถกลบตอซังข้าวหรือฟางข้าวในช่วงระหว่างการเตรียมดิน 3. ใช้วัสดุฟางข้าวคลุกดินอัตรา 400-800กก./ไร่ เพื่อลดการระเหยของน้ำในดินและเมื่อสลายตัวจะเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน 4. ปลูกพืชปุ๋ยสด ได้แก่ปอเทือง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ ใช้เมล็ดอัตรา 3-5 กก./ไร่ สำหรับถั่วพร้าใช้เมล็ด 10 กก./ไร่ เมื่ออายุ 46-60วันจึงไถกลบแล้วทิ้งไว้ 15 วันจึงปลูกพืชหลักตาม 5. ปลูกพืชตระกูลถั่วล้มลุกร่วมกับพืชไร่เศรษฐกิจชนิดอื่น เช่น ปลูกข้าวโพดหรือปอสลับกับถั่วเขียว ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วพุ่ม ถั่วดำ เพิ่มไนโตรเจนและอินทรีย์วัตถุแก่ดิน 6. ปลูกพืชตระกูลถั่วร่วมกับพืชไร่ชนิดอื่น เช่น ปลูกถั่วมะแฮะ หรือกระถินคลุมดิน ให้ปุ๋ยไนโตรเจน และอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน - แก้ไขโดยใส่ปุ๋ยเคมีตามความต้องการของพืชแต่ละชนิด 1. ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 25 กก./ไร่ โดยทำการแบ่งใส่2ครั้ง ๆ ละ เท่า ๆ กัน ครั้งที่ 1 ใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก ครั้งที่ 2ใส่เมื่อต้นถั่วอายุ 25 วัน 2.ใส่โบรอนในรูปของบอแรกซ์ 0.9 กก.ต่อไร่ แก้ปัญหาเมล็ดกลวง 3. ใส่ปุ๋ยโมลิบดีนัมในรูปโซเดียวโมลิบเดทหรือแอมโมเนียมโมลิบเดทอัตรา 100-200 กก.ต่อไร่ -ใส่ปุ๋ย 24-12-12 อัตรา 40-50 กก. หรือ 15-15-15 อัตรา 30-40 กก.ต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยยูเรีย 10-15 ต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้งๆละเท่าๆ กันดังนี้
-ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 30-35 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยยูเรีย 25 กก./ไร่ หรือปุ๋ย 21-0-0 อัตรา 50 กก.ต่อไร่ โดยแบ่งใส่ 3 ครั้งดังนี้
-ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 40-50 กก.ต่อไร่ โดนใส่สองข้างแถวเมื่ออายุ 20-25 วัน -ปุ๋ยสูตร 16-16-8 อัตรา 25-50 กก.ต่อไร่ ใส่เมื่อต้นอายุ 20-25 วันโดยโรยสองข้างแถว -ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 รองก้นหลุม อัตรา 50-100กก.ต่อไร่ -ใส่ปุ๋ยสูตร 10-10-20 หรือ 13-13-20 อัตรา 50-100 กก.ต่อไร่ โดยใส่รอบๆโคนต้นเมื่ออายุแตงโมได้ 20 วัน -ใส่ปุ๋ยเสริมแก่แตงโมเช่นยูเรียดังนี้
-ใส่ปุ๋ยสูตร 4-16-24+4 (N-P-K+MgO) อัตรา 80-100 กก.ต่อไร่ แบ่งใส่สองครั้ง
-ใช้ปุ๋ยสูตรบอแรกซ์ 0.5-1.0 กก.ต่อไร่ และใส่ปุ๋ย 4-16-24+4(N-P-K+MgO) อัตรา 80-100 กก.ต่อไร่ -ใช้ปุ๋ยสูตร 4-16-24+4 (N-P-K+MgO) อัตรา 40 กก.ต่อไร่
-แก้ไขโดยการยกร่องแปลงปลูกสูงประมาณ 10-20 ซม. ทำคันคูและทางระบายน้ำ -แก้ไขโดยการใส่ปูนขาว 50-90 กก.ต่อไร่ -แก้ไขโดยการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน ดังนี้ 1. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ 2. คลุมดินด้วยวัตถุฟางข้าวในอัตรา 800-1,000 กก.ต่อไร่ เมื่อสลายตัวจะเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน -แก้ไขโดยการใส่ปุ๋ยเคมีตามความต้องการของพืชแต่ละชนิดดังนี้ -ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 15-20-20 อัตรา 60-65 กก.ต่อไร่ แบ่งใส่สองครั้ง เท่าๆกัน คือรองพื้นก่อนปลูกและหลังจากย้ายกล้าปลูกแล้ว 2 สัปดาห์ -ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 100-120 กก.ต่อไร่ แบ่งใส่สองครั้ง ครั้งแรกรองก้นหลุมก่อนปลูก และครั้งที่สองใส่หลังจากปลูก 45 วัน -ใส่ปุ๋ย 20-10-10 อัตรา 50-70 กก.ต่อไร่ ใส่สองครั้ง ครั้งแรกใส่หลังย้ายปลูกประมาณ 5-7 วัน ครั้งที่สองใส่หลังจากย้ายกล้าอายุประมาณ 3 สัปดาห์
-ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 100 กก.ต่อไร่ ใส่สองครั้ง ครั้งละ 50กก.ต่อไร่ รองพื้นก่อนปลูก และหลังย้ายกล้า 30 วัน -ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 50-10 กก.ต่อไร่ใส่หลังแยกกล้า อายุประมาณ 3 สัปดาห์ -ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 อัตรา 25-40 กก.ต่อไร่ ใส่สองครั้ง ครั้งแรกรองก้นหลุม ครั้งที่สองใส่ก่อนออกดอก 30-40 วัน -แก้ไขโดยการยกร่องปลูกดังนี้คือ 1. วางแนวร่องให้สันร่องกว้าง 6-8 เมตร และท้องร่อง กว้าง 1.0-1.5 เมตร ปาดหน้าดินมาที่กลางสันร่อง 2. ขูดดินจากคูมากลบที่ขอบสันร่องให้สูง 50 ซม. 3. ทำคันดินให้ล้อมรอบสวนเพื่อป้องกันน้ำท่วม -แก้ไขโดยการใส่ปูนขาวอัตรา 100 กก.ต่อไร่ ใส่ในช่วงระหว่างการเตรียมดินปลูกแรกเริ่มหรือใส่ในช่วงเตรียมหลุมปลูกอัตรา 3-5 กก.ต่อตัน -แก้ไขโดยการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดินดังนี้ 1. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 20-50 กก.ต่อตัน ในช่วงเตรียมหลุมปลูก 2. ปลูกพืชคลุมดินซี่งเป็นพืชตระกูลถั่วบำรุงดิน ได้แก่ ถั่วลาย ถั่วเซอราโตร ถั่วฮามาต้า และถั่วคุดชู ใช้เมล็ดอัครา 1.5 กก./ไร่ 3. ใช้วัสดุเศษพืชคลุมดินได้แก่ ฟางข้าว เมื่อสลายตัวจะเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน -แก้ไขโดยการใส่ปุ๋ยเคมีตามความต้องการของไม้ผลแต่ละชนิด -ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1-2 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 4 ระยะ ก่อนติดผล คือเดือน มี.ค. พ.ค. ส.ค.และต.ค. โดยแบ่งใส่ 4 ครั้งละเท่าๆ กัน และระยะให้ผลผลิตแล้วแบ่งใส่ 3 ครั้ง โดยเป็นช่วงหลังเก็บผลผลิต ช่วงก่อนออกดอก 2-3 เดือน และช่วงหลังก่อนติดผล -ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือสูตรอื่นที่มีเนื้อธาตุอาหารทัดเทียมกัน อัตรา 1 กก.ต่อต้นต่อปี ใส่ในช่วงหลังออกดอก -ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 1-5 กก.ต่อต้นต่อปี โดยแบ่งใส่สองครั้งช่วงต้นและช่วงปลายฝน ใส่เพิ่มตามอายุของมะพร้าว และใส่ปุ๋ยแมกนีเซียมซัลเฟต 200-500 กรัมต่อต้นต่อปี (หรือใส่ปุ๋ยเท่าอายุเช่น 2ปีใส่ 2 กก.ต่อต้นต่อปี) -ใส่สูตร 12-24-12 หรือ 15-15-15 อัตรา 0.5-1 กก.ต่อต้นต่อปี ใส่เพิ่มตามอายุของต้นโดยแบ่งใส่ 4 ครั้งในเดือน มี.ค. พ.ค. ส.ค. และต.ค.
-แก้ไขโดยการปลูกพืชอาหารสัตว์ในบริเวณพืชที่ที่ทำการยกร่องในเขตพื้นที่ไม้ผล -แก้ไขโดยการใส่ปูนขาวอัตรา 100 กก.ต่อไร่ -ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 500-1,000 กก.ต่อไร่ เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน และเพิ่มแร่ธาตุอาหารแก่พืช |